ถ้าเคยกู้ไม่ผ่านหรือมีประวัติค้างชำระ คำถามที่มักผุดขึ้นมา เมื่อเจ้าของกิจการต้องการหาแหล่งเงินทุน คือ “มีธนาคารไหนไม่เช็คบูโรไหม?”
ความกังวลเรื่องบูโรทำให้หลายคนพยายามหาทางลัดเพื่อให้ได้วงเงินสินเชื่อเพื่อธุรกิจ sme เร็วขึ้น
เบื้องหลังคำถามนี้ มักมาจากคนที่เคยมีประวัติค้างชำระ ติด NPL หรือเคยโดนปฏิเสธสินเชื่อมาก่อน จนรู้สึกว่าถ้าธนาคารยังเช็คเครดิตบูโรอยู่ ก็แทบไม่มีโอกาสกู้เลย จึงเริ่มค้นหาคำอย่าง “สินเชื่อธนาคารไม่เช็คเครดิต”, “สินเชื่อไม่ดูบูโรธนาคารไหน” ฯลฯ
ในความเป็นจริงแม้มีประวัติเคยติดบูโรก็มีโอกาสได้รับสินเชื่อหากเข้าใจกลไกการปล่อยสินเชื่อของธนาคารไม่ครบถ้วน แต่การไปไล่ถามแต่เพียงว่า “ที่ไหนไม่เช็คบูโร” อาจทำให้เดินหลงทาง ไปเจอสินเชื่อที่ไม่ใช่ของธนาคาร หรือหลุดเข้าเขตเงินกู้นอกระบบโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จะช่วย “ไขความจริง” อย่างเป็นกลางว่า
มีกรณีไหนบ้างที่บางผลิตภัณฑ์ “ยืดหยุ่น” เรื่องบูโรมากกว่าปกติ(รับพิจรณาสินเชื่อ)
ถ้าประวัติเครดิตไม่ดี เราควรโฟกัสแก้ตรงไหนแทนการไล่หาธนาคารที่ไม่เช็คบูโร
และคำแนะนำก่อนจะเชื่อคำโฆษณาว่า “ไม่เช็คเครดิตบูโร” จากที่ใดก็ตาม
ควรอ่านบทนี้ร่วมกับ สินเชื่อสําหรับคนติดบูโร, สินเชื่อ ไม่เช็คบูโร, กู้เงิน ไม่เช็คบูโร ทำอย่างไร?, เงินกู้ไม่เช็คบูโร มีจริงแค่ไหน? วิธีเช็กให้ไม่เสี่ยง, พื่อให้เห็นภาพอนาคตทางการเงินของตัวเองชัดเจนขึ้น
ก่อนตอบว่า “มีไหมธนาคารที่ไม่เช็คบูโร” เราควรเข้าใจก่อนว่า ทำไมธนาคารถึงต้องเช็ค
เงินที่ธนาคารปล่อยกู้ ไม่ใช่เงินของธนาคารเพียงอย่างเดียว
ส่วนหนึ่งคือ “เงินฝากของประชาชน” ธนาคารจึงมีหน้าที่บริหารความเสี่ยงให้รอบคอบ ไม่ปล่อยกู้แบบสุ่มเสี่ยงเกินไป
เครดิตบูโรเป็นข้อมูลกลาง “ประวัติการชำระหนี้”
ช่วยให้ธนาคารเห็นว่า
เคยมีหนี้อะไรบ้าง
เคยผิดนัดชำระหรือไม่
ปัจจุบันมีหนี้อยู่กี่แห่ง กี่บัญชี
ถ้าไม่มีระบบนี้ ธนาคารจะไม่รู้เลยว่าลูกค้าคนหนึ่งไปกู้ที่ไหนมาแล้วบ้าง มีภาระหนี้เกินตัวหรือไม่
กฎหมายและกติกาภายในกำหนดให้ต้องมีระบบประเมินความเสี่ยง
ธนาคารจึง “ไม่มีสิทธิ์” ปล่อยกู้โดยไม่ประเมินอะไรเลย เพราะเท่ากับบริหารความเสี่ยงแบบไม่รับผิดชอบ
ดังนั้น ในมุมของ “สินเชื่อธนาคาร” คำตอบตรง ๆ คือ
แทบไม่มี “ธนาคารไหนไม่เช็คเครดิตบูโรเลย”
มีแต่อาจ “ให้ความสำคัญกับบูโรไม่เท่ากัน” หรือ “มีเกณฑ์ผ่อนปรนในบางผลิตภัณฑ์”
จุดที่เราควรถามจึงไม่ใช่
“ธนาคารไหนไม่เช็คบูโร”
แต่ควรเปลี่ยนเป็น
“ถ้าบูโรไม่สวย ยังมีโอกาสผ่านแบบไหนได้บ้าง”
ซึ่งจะเชื่อมไปสู่แนวคิดใน สินเชื่อสําหรับคนติดบูโร และ สินเชื่อ ไม่เช็คบูโร
หลังจากตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรแล้ว คุณจะพบกับสถานะการชำระหนี้ของตนเอง ซึ่งแสดงเป็นค่าตัวเลขต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
สถานะ 010 : บัญชีปกติไม่มีหนี้ค้างชำระ
สถานะ 011 : บัญชีหนี้ได้ถูกชำระจนหมดแล้ว
สถานะ 020 : บัญชีหนี้มีการค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน
สถานะ 021 : บัญชีหนี้มีการค้างชำระหนี้เกิน 90 วันเช่นกัน แต่เกิดจากสถานะทางการเงินของลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
สถานะ 030 : บัญชีลูกหนี้อยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย
สถานะ 031 : บัญชีลูกหนี้อยู่ในขั้นตอนชำระหนี้ตามคำพิพากษายินยอม
สถานะเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “ตัวเลขในรายงาน” แต่มีผลโดยตรงต่อโอกาสในการยื่นขอสินเชื่อใหม่ ดังนี้
ถือเป็นสถานะที่ “สวยที่สุด” ในมุมมองสถาบันการเงิน เพราะสะท้อนว่า
จ่ายตรงเวลา
ไม่มีค้างเกินกำหนด
วินัยทางการเงินดีในสายตาผู้ให้กู้
กรณีนี้ การพิจารณาสินเชื่อจะไปเน้นที่ “ความสามารถในการชำระหนี้ปัจจุบัน (รายได้–ภาระหนี้รวม)” เป็นหลัก หาก DSR ไม่สูงเกินเกณฑ์และเอกสารรายได้ชัดเจน โอกาสอนุมัติจะค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มสถานะอื่น
แม้บัญชีจะถูกชำระจนหมดแล้ว แต่ประวัติเดิมยังถูกแสดงในรายงานช่วงระยะเวลาหนึ่ง สถาบันการเงินมักมองว่า
“อดีตปัญหาถูกจัดการแล้ว” แต่
ยังต้องดูว่าก่อนปิดเคยค้างชำระยาวนานเพียงใด
ถ้าหลังจากปิดบัญชีแล้ว ผู้กู้มีประวัติใหม่ที่ดี (เช่น บัญชีอื่น ๆ จ่ายตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ) โอกาสในการกู้ใหม่จะดีกว่ากรณีที่ยังมีสถานะค้าง เช่น 020 หรือ 030 อยู่ในปัจจุบัน กลยุทธ์สำคัญของคนที่มีสถานะ 011 คือ “รักษาบัญชีปัจจุบันให้ดีต่อเนื่อง” เพื่อให้คะแนนภาพรวมค่อย ๆ ดีขึ้น
สถานะนี้สะท้อนว่าเป็น “หนี้ค้างระดับลึก” ในมุมมองผู้ให้กู้ ส่วนใหญ่จะถูกจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ทำให้
การขอสินเชื่อใหม่กับธนาคารหรือนอนแบงก์ที่เข้มงวด แทบจะไม่ผ่าน ในช่วงที่ยังค้างอยู่
สิ่งที่หลายแห่งยอมทำมากกว่าคือ “ปรับโครงสร้างหนี้เดิม” แทนการอนุมัติสินเชื่อใหม่
ผู้ที่มีสถานะ 020 จึงควรให้ความสำคัญกับการเจรจากับเจ้าหนี้เดิม ปรับโครงสร้างหนี้ หรือวางแผนปิดบัญชีให้กลับไปอยู่ในสถานะปกติ ก่อนคิดเรื่องการกู้ใหม่เป็นลำดับถัดไป
สถานะนี้ใกล้เคียงกับ 020 แต่บ่งชี้ว่า “ปัญหาเกิดจากเหตุไม่ปกติ” เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ เหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือมาตรการช่วยเหลือในบางช่วงเวลา ผู้ให้กู้อาจ
เห็นความแตกต่างระหว่าง “ค้างเพราะขาดวินัย” กับ “ค้างเพราะเหตุสุดวิสัย”
เปิดพื้นที่ให้ลูกหนี้อธิบายและแสดงหลักฐานการฟื้นตัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ สถานะ 021 ก็ยังถือว่าเสี่ยงสูงอยู่ดี การจะกู้ใหม่ให้มีโอกาส ต้องมี “เรื่องเล่า” ที่ชัดเจน (เช่น รายได้กลับมาปกติแล้ว และมีวินัยชำระปัจจุบันดีต่อเนื่อง) พร้อมเอกสารรองรับ
หมายถึงหนี้เข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องหรือบังคับคดีแล้ว สถาบันการเงินส่วนใหญ่จะมองว่านี่คือ “สัญญาณวิกฤต”
โอกาสอนุมัติสินเชื่อใหม่ แทบเป็นศูนย์ กับผู้ให้กู้รายใหม่
ทางเลือกหลักมักจะเหลือเพียงการเจรจากับเจ้าหนี้เดิม หรือตามกระบวนการศาลให้ได้ข้อยุติ
ผู้ที่อยู่ในสถานะนี้ควรมองเป้าหมายหลักเป็น “การปิดเคสทางกฎหมายและจัดระเบียบหนี้” มากกว่าการหาสินเชื่อใหม่ในทันที
สะท้อนว่าเรื่องได้เข้าสู่ชั้นศาลแล้ว แต่มีการตกลงกันและอยู่ระหว่าง “จ่ายคืนตามแผนที่ศาลรับรอง” แม้ยังถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในมุมมองเครดิต แต่มีจุดที่ดีกว่า 030 คือ
มี “กรอบชำระหนี้ที่ชัดเจน”
หากชำระตามแผนอย่างสม่ำเสมอในระยะเวลาหนึ่ง อาจใช้เป็นหลักฐานแสดง “วินัยที่กำลังฟื้นตัว” ในอนาคตได้
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ยังอยู่ในสถานะ 031 การขอสินเชื่อใหม่จากผู้ให้กู้รายอื่นก็ยังทำได้ยากมากอยู่ดี การโฟกัสที่การชำระตามคำพิพากษาให้เรียบร้อยคือสิ่งสำคัญที่สุด
โดยสรุป สถานะบูโรไม่ได้บอกแค่ “เคยมีปัญหาหรือไม่” แต่บอกถึง “ระดับความเสี่ยง” ที่ผู้ให้กู้ใช้ในการตัดสินใจ เมื่อเข้าใจความหมายของแต่ละสถานะแล้ว ขั้นต่อไปคือการวางแผนให้สถานะของตนเอง “ขยับไปในทิศทางที่ดีขึ้น” เช่น จาก 020 → 011 → 010 ควบคู่ไปกับการจัดการภาระหนี้และวินัยทางการเงินในปัจจุบันให้ชัดเจนที่สุด ก่อนยื่นขอสินเชื่อใหม่ในอนาคตครับ
แม้ธนาคารและนอนแบงก์ส่วนใหญ่ต้องตรวจเครดิตบูโรทุกครั้งก่อนปล่อยสินเชื่อ แต่ไม่ได้แปลว่า “เห็นรอยตำหนินิดเดียวก็ปฏิเสธทันที” เสมอไป การอ่านสถานะบูโรอย่างละเอียด (เช่น 010, 011, 020, 021, 030, 031) จะทำให้เห็นว่า ยังมีกลุ่มลูกหนี้บางแบบที่ พอมีโอกาสได้รับการพิจารณาแบบยืดหยุ่น กว่าสินเชื่อปกติ ดังนี้
ถ้าบัญชีส่วนใหญ่ในบูโรแสดงเป็น
สถานะ 010 บัญชีปกติ ไม่มีหนี้ค้างชำระ
สถานะ 011 ปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว
แต่เคยมี “ตำหนิเล็กน้อย” บางช่วง เช่น เคยจ่ายล่าช้าไม่กี่งวดแล้วกลับมาจ่ายปกติ ธนาคารมักมองว่าเป็นเคสที่ “ยังพอรับความเสี่ยงได้” โดยจะไปโฟกัสที่
รายได้ปัจจุบันมั่นคงหรือไม่
ภาระหนี้รวม (DSR) ไม่เกินเกณฑ์หรือเปล่า
หลังจากนั้นมีประวัติ 010 อย่างต่อเนื่องนานพอหรือยัง
กลุ่มนี้ถือว่า “มีลุ้น” มากกว่าคนที่ยังมีสถานะค้างลึกอย่าง 020 หรือ 030 ค้างอยู่ในปัจจุบัน
บางคนอาจเคยมีบัญชีที่แสดงเป็น
สถานะ 020 ค้างชำระเกิน 90 วัน
หรือ สถานะ 021 ค้างชำระเกิน 90 วันจากเหตุไม่ปกติ (เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ เหตุฉุกเฉิน)
แล้วต่อมาสามารถเจรจา ปรับโครงสร้าง หรือปิดบัญชีจนกลายเป็น สถานะ 011 และหลังจากนั้นไม่มีบัญชีไหนกลับไปค้างอีกเลย ธนาคารบางแห่งจะมอง “เส้นกราฟชีวิตทางการเงิน” ว่า
ปัญหาเดิมถูกแก้ไขแล้ว
ปัจจุบันมีรายได้และวินัยการชำระหนี้ดีขึ้นอย่างชัดเจน
กรณีนี้ แม้เคยมี 020/021 อยู่ในอดีต แต่ถ้าปัจจุบันเห็น 010–011 ต่อเนื่อง และเอกสารรายได้แข็งแรง ก็อาจได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษได้บ้าง
ในบางเคส แม้ประวัติบูโรจะมีตำหนิ (เช่น เคยมี 020 แต่กำลังอยู่ในช่วงจัดการ) แต่ถ้า
ปัจจุบันมีรายได้สูงและสม่ำเสมอ
หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีมูลค่าเพียงพอ (บ้าน ที่ดิน อาคาร)
และ ยังไม่หล่นไปถึงขั้นตอนกฎหมาย อย่าง 030 หรือ 031
ธนาคารหรือนอนแบงก์บางแห่งอาจใช้ “ศักยภาพปัจจุบันและหลักประกัน” มาชดเชยภาพลบในอดีต แล้วพิจารณาเคสแบบรายกรณี (case by case)
อย่างไรก็ตาม การยืดหยุ่นเหล่านี้มี “เพดาน” ชัดเจน ธนาคารยังต้องทำงานภายใต้กฎหมายและนโยบายสินเชื่อภายในของตนเอง คนที่อยู่ในสถานะรุนแรง เช่น 030 หรือ 031 มักแทบไม่มีโอกาสกู้ใหม่ จนกว่าจะจัดการหนี้เดิมและปรับสถานะให้ดีขึ้นก่อน ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับที่อธิบายไว้ในบทความกลุ่ม สินเชื่อถูกกฎหมาย ไม่เช็คบูโร และ สินเชื่อสําหรับคนติดบูโร นั่นเอง
แม้ไม่มีธนาคารไหน “ไม่เช็คบูโรเลย” แต่ก็มีสินเชื่อบางประเภทที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลอื่นร่วมด้วย ทำให้คนที่บูโรไม่สมบูรณ์ยังมีโอกาสมากกว่าสินเชื่อบุคคลปกติ เช่น
เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน สินเชื่อจำนองที่ดิน สินเชื่อเช่าซื้อรถ ฯลฯ
ในกรณีนี้ธนาคารจะดูทั้ง
มูลค่าหลักประกัน
ความสามารถในการผ่อน
และประวัติเครดิตรวม
แม้บูโรไม่สวย แต่หากหลักประกันมีมูลค่าพอ และสถานะปัจจุบันดีขึ้น โอกาสก็ยังมีมากกว่าการกู้แบบไม่มีหลักประกันเลย
บางธนาคารมีผลิตภัณฑ์ที่โฟกัสกลุ่มลูกจ้างประจำ หรือผู้มีรายได้แน่นอนที่มีปัญหาในอดีต แต่ปัจจุบันมีสลิปเงินเดือน และสเตทเมนต์สวยขึ้นอย่างชัดเจน เคสแบบนี้ควรดูแนวคิดใน กู้เงิน ไม่เช็คบูโร ทำอย่างไร? คู่มือคนมีประวัติเครดิตให้กู้ผ่านอย่างปลอดภัย
ในทางปฏิบัติ ผู้ให้กู้บางราย (ทั้งธนาคารและนอนแบงก์) เริ่มพิจารณา
ยอดขายจริง
รายการเดินบัญชีธุรกิจ
และพฤติกรรมการเงินในปัจจุบัน
ควบคู่กับบูโรมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม สินเชื่อพ่อค้าแม่ค้า และ สินเชื่อพ่อค้าแม่ค้าไม่เช็คบูโร
ตรงนี้ไม่ได้แปลว่า “ไม่ดูบูโร” แต่คือ “ไม่เอาบูโรเป็นตัวตัดสินเพียงอย่างเดียว”
คำถามสำคัญคือ ในเมื่อธนาคารต้องเช็คบูโร แล้วทำไมโฆษณาบางที่ถึงกล้าพูดว่า
“สินเชื่อธนาคารไหน ไม่เช็คเครดิตบูโร” หรือ “สินเชื่อธนาคารไม่เช็คเครดิต”
คำตอบแยกได้คร่าว ๆ เป็น 3 กลุ่ม:
บางครั้ง ผู้ลงโฆษณาใช้คำว่า “ไม่เน้นเครดิตบูโร” หรือ “พิจารณาหลายปัจจัย ไม่ดูแค่เครดิต” แต่ถูกสรุปให้สั้นลงเป็น “ไม่เช็คเครดิต” ทำให้คนเข้าใจผิดว่าหมายถึงไม่ดูบูโรเลย ทั้งที่ในความเป็นจริง เขายังดึงข้อมูลอยู่ เพียงแต่น้ำหนักไม่ได้ 100%
เอาสินเชื่อปกติของธนาคารหรือนอนแบงก์มาขาย แต่บอกลูกค้าว่า “ไม่เช็คเครดิต” เพื่อให้คนสนใจ ทั้งที่ท้ายที่สุดแล้ว ระบบธนาคารก็ยังเช็คอยู่เหมือนเดิม กลุ่มนี้แม้ไม่ใช่มิจฉาชีพเต็มรูปแบบ แต่เป็นการสื่อสารที่บิดเบือน
กลุ่มนี้อันตรายที่สุด ใช้คำว่า
“ไม่เช็คบูโร”
“ไม่เช็คภาระหนี้”
“อนุมัติทุกคน 100%”
เพื่อดึงดูดคนที่เดือดร้อน จากนั้นจะให้โอนเงินก่อน หรือคิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายอย่างรุนแรง รูปแบบเหล่านี้อธิบายไว้ใน เงินกู้ไม่เช็คบูโร มีจริงแค่ไหน? วิธีเช็กให้ไม่เสี่ยง, เงินนอกระบบได้จริงไม่โอนก่อน, เงินด่วนนอกระบบ โอนเข้าบัญชี และ ตรวจสอบรายชื่อมิจฉาชีพ เงินกู้
แทนที่จะถามหาแต่เพียงว่า “ธนาคารไหนไม่เช็คเครดิตบูโร” ลองเปลี่ยนมุมคิดมาโฟกัสที่สิ่งที่เราควบคุมได้จริง จะมีประโยชน์กว่าในระยะยาว
พยายามเคลียร์หนี้ที่ค้างชำระนาน
เจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้เดิม หากผ่อนปกติไม่ไหว
ป้องกันไม่ให้เกิด “บัญชีเสียใหม่” เพิ่มเติม
แนวคิดนี้เชื่อมกับบท สินเชื่อไม่เช็คภาระหนี้ ที่ให้มุมมองเรื่อง DSR และการจัดการภาระหนี้รวม
ตั้งใจชำระหนี้ที่เหลือให้ตรงเวลาทุกงวด
ไม่เปิดหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น
รักษาอัตราหนี้ต่อรายได้ให้อยู่ในระดับปลอดภัย
เมื่อเวลาผ่านมา การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะสะท้อนในบูโร ทำให้โอกาสการกู้ครั้งต่อไปสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ
รับเงินเข้าบัญชีให้สม่ำเสมอ ลดการรับเป็นเงินสดล้วน
เก็บหลักฐานรายได้จากงานประจำ/ธุรกิจ/ฟรีแลนซ์ให้ครบ
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้สอดคล้องกับแนวทางใน สินเชื่ออนุมัติง่าย, สินเชื่อธนาคารไหนอนุมัติง่าย, และ สินเชื่อธนาคารไหนอนุมัติง่าย อาชีพอิสระ
ก่อนจะกดสมัครสินเชื่อจากที่ไหนก็ตามที่บอกว่า
“ธนาคารไหนไม่เช็คเครดิตบูโร กดที่นี่”
หรือ “ไม่เช็คเครดิต อนุมัติทุกอาชีพ”
ลองทวนคำแนะนำเหล่านี้อีกครั้ง:
ถามตัวเองว่าเขาเป็นธนาคารจริง ๆ หรือไม่
หรือเป็นแค่คนกลาง/เพจที่ใช้ชื่อธนาคารมาล่อ
ตรวจสอบชื่อ/เลขทะเบียน/ใบอนุญาต ตามแนวทางในบทความด้านความปลอดภัย
โดยเฉพาะ ตรวจสอบรายชื่อมิจฉาชีพ เงินกู้
ไม่โอนเงิน “ค่าดำเนินการ” ใด ๆ ก่อนเห็นสัญญาและรายละเอียดชัดเจน
ถ้ามีการเร่งเร้าให้โอนก่อน ถือว่าเสี่ยงสูง
เปรียบเทียบดอกเบี้ยและเงื่อนไขกับสินเชื่อที่แน่นอนว่าอยู่ในระบบ
เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคาร/นอนแบงก์ที่รู้จัก เพื่อดูว่าข้อเสนอที่ได้ “แพงผิดปกติหรือไม่”
ถ้ารู้สึกว่าคำโฆษณาสวยเกินจริง ให้เชื่อสัญชาตญาณแล้วถอยก่อน
จากนั้นค่อยกลับมาศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากบทความอย่าง
สินเชื่อสําหรับคนติดบูโร, สินเชื่อ ไม่เช็คบูโร, เงินกู้ไม่เช็คบูโร มีจริงแค่ไหน? วิธีเช็กให้ไม่เสี่ยง และ กู้เงินถูกกฎหมายไม่เช็คบูโร ต้องเช็กอะไรบ้างก่อนโอนสักบาท
แทบไม่มี ธนาคารไหนไม่เช็คเครดิตบูโรเลย เพราะธนาคารมีหน้าที่บริหารความเสี่ยง และต้องดูแลเงินของผู้ฝากเงิน
สิ่งที่มีอยู่จริงคือ “ผลิตภัณฑ์หรือกรณีที่ ผ่อนปรน เรื่องบูโรมากกว่าปกติ” โดยดูรายได้ปัจจุบัน หลักประกัน และพฤติกรรมการเงินร่วมด้วย
โฆษณาที่ใช้คำว่า “ไม่เช็คเครดิตบูโร” อาจมาจากทั้งการสื่อสารเกินจริง หรือเงินกู้นอกระบบ/มิจฉาชีพที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
แทนที่จะไล่หาว่า สินเชื่อไม่ดูบูโรธนาคารไหน ควรโฟกัสที่การจัดการหนี้เดิม สร้างประวัติใหม่ให้ดี และเลือกกู้กับผู้ให้กู้ที่ ถูกกฎหมายและโปร่งใส
เมื่อเข้าใจภาพนี้ชัดเจนแล้ว การตัดสินใจเรื่องสินเชื่อจะไม่ใช่แค่การถามว่า “ที่ไหนไม่เช็คบูโร” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการถามว่า
“ทำอย่างไรให้ชีวิตการเงินของเราแข็งแรงพอ
จนธนาคาร อยาก ปล่อยกู้ให้เราด้วยความมั่นใจ”
และนั่นคือทิศทางที่ยั่งยืนกว่ามากในระยะยาวครับ