เจ้าของกิจการ SME หลายคนมีคำถามคล้าย ๆ กันว่า
“ขายดี กำไรในกระดาษก็มี แต่ทำไมเงินสดในบัญชีถึงไม่พอจ่าย?”
คำตอบสำคัญอยู่ที่คำว่า “เงินทุนหมุนเวียน” (Working Capital) นี่แหละครับ
ถ้าเข้าใจผิด หรือไม่ได้บริหารให้ดี ต่อให้ยอดขายโต ธุรกิจก็ยัง “ติดขัดเรื่องเงินสด” ได้ตลอดเวลา
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า
ถ้าอยากดูภาพรวมแหล่งเงินทุนทั้งหมด แนะนำให้อ่านคู่กับบทความ แหล่งเงินทุนธุรกิจ SME มีอะไรบ้าง เลือกแบบไหนให้เหมาะ แล้วค่อยกลับมาโฟกัสเรื่อง “บริหารเงินทุนหมุนเวียน” จากบทความนี้ครับ
สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ เขามีฝ่ายการเงินดูแลตัวเลขเหล่านี้ให้ แต่สำหรับ เจ้าของกิจการ SME ส่วนใหญ่
เป็นทั้ง “เจ้าของ–ผู้จัดการ–ฝ่ายขาย–ฝ่ายการเงิน” ในคนเดียว
เวลาคิดเรื่องเงิน มักมองแค่ “กำไรขาดทุน” แต่ไม่ค่อยได้ดู “เงินหมุนจริงในแต่ละเดือน”
ผลที่ตามมาคือ
ขายดี แต่วงจรเงินสด “ตึง” ตลอด
ต้องคอยหาสินเชื่อระยะสั้น,สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มาอุดช่วงเงินขาดมือ
บางคนไปพึ่ง แหล่งเงินทุนนอกระบบ เพราะเข้าใจว่าธุรกิจตัวเอง “มีกำไร” เลยคิดว่ากู้เพิ่มได้
ถ้าเข้าใจ เงินทุนหมุนเวียน คือ อะไร คุณจะเริ่มเห็นว่า
ธุรกิจของคุณ “ขาดเงิน” หรือแค่ “ติดอยู่ในสต๊อก/ลูกหนี้การค้า”
ปัญหาจริงอยู่ที่ “ขายไม่ดี” หรืออยู่ที่ “เครดิตเทอม–การเก็บเงิน–การซื้อเกินจำเป็น”
ก่อนคิดจะหาเงินเพิ่มจากภายนอก คุณควร “ปล่อยเงินตัวเองให้ไหลลื่นขึ้น” ก่อน
พูดง่าย ๆ คือ เงินทุนหมุนเวียน = เลือดที่หล่อเลี้ยงธุรกิจในชีวิตประจำวัน
ถ้าเลือดหมุนไม่ดี ต่อให้หัวใจแข็งแรง (ยอดขายดี) ร่างกายก็ยังล้มได้อยู่ดี
ในเชิงการเงิน “เงินทุนหมุนเวียน” (Working Capital) คือ
เงินที่ใช้หมุนในกิจการ ระหว่างช่วง
“ซื้อของ/ผลิต – เก็บสต๊อก – ขาย – รอลูกค้าจ่าย – จ่ายซัพพลายเออร์/ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”
ถ้าจะสรุปแบบสมการง่าย ๆ
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)
= สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน
สำหรับ SME ไม่ต้องไปเครียดกับศัพท์บัญชีมากก็ได้ ให้คิดภาพง่าย ๆ ว่า
เงินสด + เงินในบัญชี
สินค้าคงคลังในโกดัง/ร้าน
ลูกหนี้การค้า (ยอดที่ออกบิลแล้ว แต่วนังรอเขาจ่าย)
สามอย่างนี้คือ “ของที่เป็นเงินเรา แต่ยังไม่กลายเป็นเงินสดในมือ”
ลบด้วย
เจ้าหนี้การค้า (ยอดที่เรายังไม่ได้จ่ายให้ซัพพลายเออร์)
ค่าใช้จ่ายระยะสั้นที่กำลังจะถึงเวลา เช่น ค่าเช่า ค่าแรง ภาษี ฯลฯ
สิ่งที่เหลือ คือ “กันชน” ที่ทำให้ธุรกิจไม่สะดุดเวลามีอะไรผิดจังหวะ
จุดที่ทำให้เจ้าของกิจการจำนวนมากสับสนคือ
“ในงบมีกำไร แต่ในบัญชีไม่ค่อยมีเงิน”
เพราะ กำไร กับ เงินทุนหมุนเวียน/กระแสเงินสดธุรกิจ เป็นคนละเรื่องกัน
คิดตาม “ช่วงเวลา” เช่น เดือนนี้ ขายได้เท่าไร มีต้นทุน–ค่าใช้จ่ายเท่าไร
ไม่ได้ดูว่า “เงินสดเข้า–ออกจริง” เมื่อไหร่
ดูว่าระหว่างเดือน
เราซื้อของเมื่อไหร่ จ่ายเงินเมื่อไหร่
ขายของเมื่อไหร่ เก็บเงินได้เมื่อไหร่
ถ้าซื้อของวันนี้ แต่ลูกค้าจ่ายอีก 60 วัน
→ กำไรอาจรับรู้แล้ว แต่เงินสดยังไม่มา
ตัวอย่างง่าย ๆ
คุณขายของล็อตใหญ่ได้กำไร 200,000 บาท
แต่ให้เครดิตลูกค้า 60 วัน
ขณะที่คุณต้องจ่ายค่าสินค้า/ค่าแรง/ค่าเช่า ภายใน 30 วัน
ผลคือ
บนกระดาษ → กำไรดี
ในความเป็นจริง → เงินสดไม่พอหมุน ต้องไปหาเงินมาโปะช่วงรอเก็บหนี้
นี่คือเหตุผลที่ “ดูแต่กำไร” ยังไม่พอ ต้องเข้าใจ เงินทุนหมุนเวียน คืออะไร และมันต่างจากกำไรยังไงด้วย
เพื่อบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้ดี คุณต้องรู้ก่อนว่า “มันประกอบด้วยอะไรบ้าง”
โดยทั่วไปมักดู 3 ตัวหลัก ๆ คือ
คือสินค้าที่คุณซื้อมาเก็บไว้ หรือของที่ผลิตแล้วรอขาย
เยอะไป → เงินสดจมอยู่ในของที่ยังไม่ขาย
น้อยไป → ขายดีแต่ของไม่พอ ส่งของไม่ได้ เสียโอกาสและเสียลูกค้า
เป้าคือ “มีเท่าที่ต้องใช้–ขายได้จริง” ไม่ใช่ซื้อเผื่อทุกอย่างจนเงินจม
คือยอดเงินที่คุณออกบิลไปแล้ว แต่ลูกค้ายังไม่จ่าย
ยิ่งให้เครดิตเทอมนาน ยิ่งต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก
ถ้าลูกหนี้จ่ายช้า → เงินสดตึงทันที แม้จะมีกำไรในบัญชี
ธุรกิจ B2B ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาตรงนี้บ่อย จึงมีเครื่องมืออย่าง แฟคตอริ่ง มาช่วย (รายละเอียดไปอ่านต่อในบทความ สินเชื่อแฟคตอริ่งคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาเงินขาดมือให้ SME ได้อย่างไร)
คือยอดที่เรายังไม่ได้จ่ายให้ซัพพลายเออร์
ถ้าได้เครดิตเทอมดี ๆ เช่น 30–60 วัน เท่ากับ “มีคนให้เรายืมเงินหมุนฟรีช่วงสั้น ๆ”
แต่ต้องบริหารอย่างมีมารยาท
จ่ายตรงตามนัด
ถ้ามีปัญหาต้องโทรคุย ไม่หายไปเฉย ๆ
ไม่อย่างนั้นจะเสียเครดิต และกลายเป็นต้องจ่ายสดหรือเครดิตเทอมสั้นลง → เงินทุนหมุนเวียนตึงหนักกว่าเดิม
ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชี ก็พอคำนวณคร่าว ๆ ได้
สูตรง่าย ๆ
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ = สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน
ในมุม SME ให้โฟกัสประมาณนี้
สินทรัพย์หมุนเวียน
เงินสด/เงินฝาก
สินค้าคงคลัง
ลูกหนี้การค้า
หนี้สินหมุนเวียน
เจ้าหนี้การค้า
หนี้ระยะสั้นที่ต้องจ่ายในปีนี้ (ค่างวดสินเชื่อระยะสั้น ฯลฯ)
ถ้า
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ “เป็นบวก” → พอมีกันชน
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ “ติดลบ” → ต้องระวังกระแสเงินสดมากเป็นพิเศษ
ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้แทนสูตรยาว ๆ
ของค้างสต๊อกเฉลี่ยกี่วันกว่าจะขายได้ (ยิ่งนาน = เงินยิ่งจม)
ลูกหนี้โดยเฉลี่ยกี่วันถึงจ่าย (ยิ่งนาน = ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเยอะ)
เราได้เครดิตเทอมจากซัพพลายเออร์กี่วัน
ไอเดียคือ
อยากให้ “วันเก็บเงินลูกหนี้ + วันค้างสต๊อก” ไม่ห่างจาก “วันเครดิตเทอมที่เราได้” มากเกินไป
ถ้าช่องว่างตรงนี้กว้างมาก = ธุรกิจต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเยอะ
ตอนนั้นแหละ ถึงค่อยไปดูว่า จะใช้แหล่งเงินทุนเสริมแบบไหน (เช่น สินเชื่อระยะสั้น, OD, แฟคตอริ่ง)
ซึ่งมีเปรียบเทียบไว้ในบทความ เปรียบเทียบแฟคตอริ่ง OD และสินเชื่อระยะสั้น แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ
เข้าใจหลักการแล้ว มาดูวิธี “ลงมือทำ” กันบ้าง
ออกบิลให้ไวที่สุดหลังส่งมอบงาน
โทรตามหนี้อย่างมืออาชีพ มีระบบ ไม่ใช่คิดได้ค่อยโทร
ถ้าเป็นไปได้ อาจเสนอส่วนลดเล็กน้อยให้ลูกค้าที่ “จ่ายก่อนกำหนด”
เป้าหมายคือ “หุบช่องว่างช่วงที่เงินไปค้างอยู่กับลูกค้า” ให้แคบที่สุด
ไม่ได้หมายความให้เบี้ยว แต่คือ
ใช้เครดิตเทอมให้เต็มสิทธิ์ เช่น ได้ 30 วัน ก็จ่ายวันก่อนครบกำหนด ไม่ใช่จ่ายวันแรก
ถ้ามีปัญหากระแสเงินสด ให้คุยกับซัพพลายเออร์ล่วงหน้า ขอเลื่อนภายในขอบเขตที่เขารับได้
คุณค่าของซัพพลายเออร์ที่ “เข้าใจและไว้ใจเรา” มีค่ามากกว่าเงินสดก้อนเล็ก ๆ เสมอ อย่าทำให้เขาเสียความเชื่อมั่น
ตรวจของคงคลังเป็นประจำ ว่ามีอะไร “นอนตาย” อยู่บ้าง
จัดลำดับสินค้า: ตัวไหนขายเร็ว (หมุนไว) ตัวไหนขายช้า (เงินจม)
ปรับสั่งของให้ใกล้กับยอดขายจริงมากขึ้น ไม่ซื้อเยอะเพราะส่วนลดอย่างเดียว
ทุกบาทที่จมในสต๊อก = เงินทุนหมุนเวียนที่ไป “นอนอยู่บนชั้นวางของ”
เครื่องมืออย่าง แฟคตอริ่ง และ วงเงิน OD เป็นตัวช่วยเงินทุนหมุนเวียนที่ดีมาก ถ้าใช้เป็น
แฟคตอริ่ง → เหมาะกับธุรกิจที่ขายแบบเครดิตให้ลูกค้านิติบุคคลบ่อย ๆ
OD → เหมาะกับใช้เป็นกันชนเวลาค่าใช้จ่ายมาก่อนรายได้
แต่ตามโน้ตในแผน เราจะไม่ลงลึกถึง “เงื่อนไขผลิตภัณฑ์” ในบทความนี้
รายละเอียดเจาะลึกไปอ่านต่อได้ในบทความเหล่านี้แทน
สินเชื่อแฟคตอริ่งคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาเงินขาดมือให้ SME ได้อย่างไร
วงเงิน OD คืออะไร ใช้อย่างไรให้ธุรกิจไม่จมดอกเบี้ย
เปรียบเทียบแฟคตอริ่ง OD และสินเชื่อระยะสั้น แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ
สรุปอีกครั้งแบบสั้น ๆ
กำไร บอกว่า “เราทำธุรกิจคุ้มไหมในเชิงตัวเลข”
เงินทุนหมุนเวียน บอกว่า “เราจะอยู่รอดระหว่างเดือนอย่างสบายหรือหายใจไม่ทั่วท้อง”
ถ้าดูแต่กำไร แต่ไม่ดูเงินหมุน
อาจเผลอขยายกิจการเร็วเกินไป โดยที่เงินสดไม่พอสนับสนุน
ต้องวิ่งหาแหล่งเงินทุนระยะสั้นตลอดเวลา ทั้งที่จริง ๆ ปัญหาอยู่ใน “เครดิตเทอม–สต๊อก–การเก็บหนี้”
แต่ถ้าเข้าใจและบริหาร เงินทุนหมุนเวียน คืออะไร และทำงานยังไงในธุรกิจเรา
จะรู้ว่าควรแก้จุดไหนก่อน: สต๊อก, ลูกหนี้, เจ้าหนี้ หรือโครงสร้างต้นทุน
จะเลือกใช้ แหล่งเงินทุนธุรกิจ SME ภายนอกได้อย่างมีสติ ไม่กู้เกินจำเป็น
ธุรกิจจะ “หายใจโล่งขึ้น” แม้ยอดขายจะยังไม่ได้โตแบบพุ่งแรง
ถ้าไม่มั่นใจว่าเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจเพียงพอหรือไม่ ลองให้เราช่วยวิเคราะห์ตัวเลขเบื้องต้นฟรี
เพียงสรุปข้อมูลง่าย ๆ เช่น
ยอดขายเฉลี่ยต่อเดือน
เงื่อนไขเครดิตเทอมที่ให้ลูกค้า และที่ได้รับจากซัพพลายเออร์
สต๊อกเฉลี่ย และภาระหนี้ระยะสั้นที่มีอยู่
ทีมที่ปรึกษาจะช่วยดูให้ว่า
เงินทุนหมุนเวียนของคุณ “ตึงไปหรือหลวมไป”
มีจุดไหนที่ปรับได้ทันทีโดยไม่ต้องรีบกู้เพิ่ม
ถ้าจำเป็นต้องใช้สินเชื่อจริง ๆ ควรเริ่มดูทางเลือกแบบไหนก่อน
และอย่าลืมทำ ลิงก์ตัวหนา เชื่อมบทความนี้ไปหาหน้าอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น
สินเชื่อแฟคตอริ่งคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาเงินขาดมือให้ SME ได้อย่างไร
วงเงิน OD คืออะไร ใช้อย่างไรให้ธุรกิจไม่จมดอกเบี้ย
เปรียบเทียบแฟคตอริ่ง OD และสินเชื่อระยะสั้น แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ